หน้าเว็บ

บทที่ 3

บทที่3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นกลตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กและตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่
  2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรียงจากความถี่น้อยไปมากได้ 7 ชนิด ดังนี้ 1) คลื่นวิทยุ     2) คลื่นไมโครเวฟ     3) คลื่นอินฟราเรด     4) คลื่นแสง     5) คลื่นอัลตราไวโอเลต     6) รังสีเอ็กซ์     7) รังสีแกมมา  คลื่นแสงประกอบด้วย ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
  3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้ง 7 ชนิด มีความเร็วสุญญากาศเท่ากัน คือ 3 x 108 เมตร/วินาที ความเร็วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอากาศจะมีความเร็วมากกว่าในนี้
  4. คลื่นที่มีความถี่น้อยจะมีพลังงานน้อย แต่ความยาวคลื่นมาก  คลื่นที่มีความถี่มากจะมีพลังงานมาก  แต่ความยาวคลื่นน้อย
  5. คลื่นวิทยุมี 2 ประเภท คือ AM แอมพลิจูดเปลี่ยน และ FM ความถี่เปลี่ยน , รีโมท - อินฟราเรด , เรดาร์ - ไมโครเวฟ
สมบัติของแม่เหล็กไฟฟ้า

  1. ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่
  2. อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศเท่ากับ 3x108m/s ซึ่งเท่ากับ อัตราเร็วของแสง
  3. เป็นคลื่นตามขวาง
  4. ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
  5. ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้โดยสสาร
  6. ไม่มีประจุไฟฟ้า
  7. คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และเลี้ยวเบนได้
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


1. คลื่นวิทยุ
  • ผลิตจากอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์โดยวงจรออสซิลเลเดอร์
  • มีความถี่ในช่วง 104 – 109 เฮิร์ตซ์
  • ใช้ในการสื่อสาร ส่งกระจายเสียงโดยใช้คลื่นฟ้าและคลื่นดิน
  • สามารถเลี้ยวเบนผ่านสิ่งกีดขวางที่มีขนาดใกล้เคียงกับความยาวคลื่นได้
  • โลหะมีสมบัติในการสะท้อนและดูดกลืนคลื่นแเหล็กไฟฟ้าได้ดี ดังนั้นคลื่นวิทยุจังผ่านไม่ได้
  • การกระจายเสียงออกอากาศมีทั้งระบบ F.M. และ A.M.

คลื่นวิทยุ
2. คลื่นโทรทัศน์และไมโครเวฟ
  • ความถี่ 108 – 1012 เฮิรตซ์
  • ไม่สะท้อนกับบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์จึงส่งเป็นเส้นตรงแล้วใช้สถานีถ่ายทอดเป็นระยะหรือใช้คลื่นไมโครเวฟนำสัญญาณโทรทัศน์ไปยังดาวเทียม
  • คลื่นโทรทัศน์มีความยาวคลื่นสั้นจึงเลี้ยวเบนผ่านสิ่งกีดขวางใหญ่ๆ เช่น รถยนต์ หรือเครื่องบินไม่ได้ ดังนั้นจะเกิดการสะท้อนกับเครื่องบิน กลับมาแทรกสอดกับคลื่นเดิม ทำให้เกิดคลื่นรบกวนได้
  • ไมโครเวฟสะท้อนโลหะได้ดี จึงใช้ทำเรดาห์
คลื่นโทรทัศน์และไมโครเวฟ
3. รังสีอินฟาเรด
  • ความถี่ 1011 – 1018
  • ตรวจรับได้ด้วยประสาทสัมผัสทางผิวหนัง หรือ ฟิล์มถ่ายรูปชนิดพิเศษ
  • สิ่งมีชีวิตแผ่ออกมาตลอดเวลาเพราะเป็นคลื่นความร้อน
  • ใช้ในการสื่อสาร เช่น ถ่ายภาพพื้นโลกจากดาวเทียม, ใช้เป็นรีโมทคอนโทรลของเครื่องวิทยุและโทรทัศน์ และใช้ควบคุมจรวดนำวิถี
  • ใช้เป็นพาหะนำสัญญาณในเส้นใยนำแสง (optical fiber)
รังสีอินฟาเรด
4. แสง
ประมาณ 1014 เฮิรตซ์ ความยาวคลื่นประมาณ 10-7
  • ตรวจรับโดยใช้จักษุสัมผัส
  • มักเกิดจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูง , และถ้าวัตถุยิ่งมีอุณหภูมิสูงจะยิ่งมีพลังงานแสงยิ่งมาก
  • อาจเกิดจากวัตถุที่มีอุณหภูมิไม่สูงก็ได้ เช่น แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์, หิ่งห้อย, เห็ดเรืองแสง
  • เลเซอร์ เป็นแหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ที่ให้แสงโดยไม่อาศัยความร้อน มีความถี่และเฟสคงที่ (ถ้าเป็นแสงที่เกิดจากความร้อนจะมีหลายความถี่และเฟสไม่คงที่) จนสามารถใช้เลเซอร์ในการสื่อสารได้ ถ้าใช้เลนส์รวมแสงให้ความเข้มข้นสูงๆ จะใช้เลเซอร์ในการผ่าตัดได้
  • บริเวณที่แสงเลเซอร์ตก จะเกิดความร้อน
แสง
5. รังสีอัลตราไวโอเลต
  • มีความถี่ประมาณ 1015- 1018 เฮิรตซ์
  • รังสีนี้ในธรรมชาติ ส่วนใหญ่มาจากดวงอาทิตย์
  • เป็นรังสีที่ทำให้เกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์
  • เป็นอันตรายต่อเซลผิวหนัง, ตา และใช้ฆ่าเชื้อโรคได้
  • สามารถสร้างขึ้นได้โดยผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดที่บรรจุไอปรอท
  • ผ่านแก้วได้บ้างเล็กน้อยแต่ผ่านควอตซ์ได้ดี
  • การเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้าจะทำให้เกิดรังสีนี้ได้
รังสีอัลตราไวโอเลต
6. รังสีเอกซ์
  • ความถี่ประมาณ 1016 – 1022
  • ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางหนาๆ ได้ แต่ถูกกั้นได้ด้วยอะตอมของธาตุหนัก จึงใช้ตรวจสอบรอยร้าวในชิ้นโลหะขนาดใหญ่  ใช้ตรวจหาอาวุธปืนในกระเป๋าเดินทาง
  • ความยาวคลื่นประมาณ 10 -10 เมตร ซึ่งใกล้เคียงกับขนาดอะตอมและช่องว่างระหว่างอะตอมของผลึกจึงใช้วิเคราะห์โครงสร้างผลึกได้
รังสีเอกซ์
7. รังสีแกมมา
  • ใช้เรียกชื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์
  • รังสีแกมม่าที่พบในธรรมชาติ เช่น รังสีแกมม่าที่เกิดจากการแผ่สลายของสารกัมมันตรังสี, รังสีคอสมิคที่มาจากอวกาศก็มีรังสีแกมม่าได้
  • รังสีแกมม่าอาจทำให้เกิดขึ้นได้ เช่นการแผ่รังสีของอนุภาคไฟฟ้าในเครื่องเร่งอนุภาค
รังสีแกมมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น